เลือกช่างภาพงานแต่งให้ถูกใจ เพื่อเก็บภาพความทรงจำไว้ ไม่ให้สูญหายไปกับกาลเวลา
“ช่างภาพงานแต่งงาน” ถือเป็นอาชีพสร้างภาพ ที่สร้างความทรงจำอันสวยงาม หอมหวาน และอบอุ่น ให้กับทั้งบ่าว-สาว ครอบครัว และแขกคนสำคัญ ผ่านชัตเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ บ่าว-สาวจะเลือกช่างภาพตามสไตล์ของช่างภาพคนนั้นๆ ว่ามีชื่อเสียงในการถ่ายภาพรูปแบบใด อาทิ เน้นการถ่ายภาพแบบ Candid ที่สามารถดึงอารมณ์ของบ่าว-สาวและทุกคนในงานออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ, เน้นการถ่ายเก็บช่วงเวลาสำคัญให้ครบถ้วน ชัดเจน หรือถ่ายภาพในแสง Under ซึ่งเป็นเทรนด์ที่บ่าว-สาวยุคใหม่นิยมกันมาก สร้างมุมมองแปลกใหม่เสมือนเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพงานแต่งสไตล์ไหน สิ่งสำคัญของการเป็นช่างภาพในงานแต่งงาน คือ ประสบการณ์ นั่นเอง เพราะงานแต่งงานที่ช่างภาพไปเก็บภาพนั้น อาจจะเป็นงานแรก งานที่ 10, 100 หรือ 1,000 ของช่างภาพคนนั้น แต่จะเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวของคู่บ่าว-สาว และไ่ม่สามารถรีรันให้กลับมาถ่ายภาพใหม่ได้ เพราะฉะนั้น ประสบการณ์ ความละเอียดรอบคอบ จึงเป็นคุณสมบัติที่ช่างภาพงานแต่งพึงมี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ทีมงานอินแพ็ค เวดดิ้ง ได้รับคำวิจารณ์ช่างภาพงานแต่ง จากปากของคู่บ่าว-สาวในเชิงลบ ทั้งคุณภาพผลงาน วิธีการทำงาน รวมไปถึงการบริการ ซึ่งเมื่องานแต่งงานผ่านพ้นไปแล้วนั้น ทีมงานของเราได้แต่ปลอบใจบ่าว-สาว และเก็บข้อมูลทั้งหลาย เพื่อนำมาบอกต่อแก่บ่าว-สาวคู่ถัดไปที่เราดูแล แต่ครั้งนี้เราจะสรุปปัญหาช่างภาพงานแต่งที่บ่าว-สาวพบเจอ และแนะนำวิธีการเลือกช่างภาพงานแต่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบในทุกโมเม้นท์ บ่าว-สาว จะทราบได้อย่างไร? ว่าภาพถ่ายที่ทั้งคู่ต้องการเป็นภาพถ่ายสไตล์ไหน เรียกว่าอะไร และช่างภาพฝีมือดีที่ว่านั้น ต้องพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้าง
เริ่มกันที่สไตล์ภาพถ่ายที่บ่าว-สาวชื่นชอบ แต่ไม่รู้ว่าภาพถ่ายเหล่านี้เรียกว่าอะไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร
1. ภาพถ่ายแบบร่วมสมัย (Contemporary Photograph)ภาพถ่ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพถ่ายแฟชั่น การถ่ายภาพงานแต่งงานสมัยใหม่มีภาพถ่ายที่โพสท่าอยู่บ้าง แต่จะผ่อนคลายกว่าเล็กน้อย เนื่องจากช่างภาพงานแต่งจะมองหาแสงและมุมที่น่าตื่นเต้น แม้ว่าภาพเหล่านี้จะสวยงามเพียงใด แต่ภาพเหล่านี้อาจไม่ค่อยได้ดึงอารมณ์ของบรรยากาศในงาน หรือคู่รักในฐานะตัวละครเอก หากแต่เป็นวิสัยทัศน์ และมุมองศิลปะของช่างภาพงานแต่ง
2. ภาพถ่ายแบบดั้งเดิม (Traditional Photograph) คือ การถ่ายภาพแบบธรรมดาหรือแบบคลาสสิกที่เคยเป็นภาพถ่ายงานแต่งงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เน้นการถ่ายภาพโดยรวม และเน้นที่ลำดับการในพิธีเป็นหลัก อาจไม่จำเป็นต้องจับอารมณ์ของงานในวันนั้น แต่จะให้ภาพแบบดั้งเดิมที่สวยงามแก่คุณเพื่อเก็บไว้ชมได้อย่างครบถ้วนตลอดไป เช่น ภาพหมู่ของคู่รักกับเพื่อนๆ และครอบครัว ภาพตัดเค้กและดื่มไวน์ และจูบแรกของทั้งคู่ในฐานะสามีภรรยา ช่างภาพงานแต่งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาพถ่ายลักษณะนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุ “ช็อตสำคัญ” ของวัน และไม่มีวันตกยุค บ่าว-สาวยุคนี้จึงเลือกการถ่ายภาพแบบนี้เป็นกล้องหลักของงานไปโดยปริยาย แต่หากต้องการภาพถ่ายแบบอื่นๆ ก็จะจ้างช่างภาพงานแต่งสไตล์ที่ชอบมาเป็นกล้องรอง
3. ภาพถ่ายจากแสงธรรมชาติ (Natural Photograph) เหมาะสำหรับการถ่ายภาพงานแต่งงานที่จัดในช่วงเวลากลางวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้า และบ่ายแก่ๆ ในสถานที่เอ้าท์ดอร์ หรือในห้องที่มีแสงแดดส่องถึง ผสมผสานกับการถ่ายภาพรูปแบบอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะดูสมจริง ไม่หลอกตา ช่างภาพงานแต่งสไตล์นี้ จะต้องมีทักษะมากในการจัดการกับแสงและเงา หรือปัญหาแสงจากปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะปัจจัยที่เกิดจากธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น มีเมฆมาก มีหมอกลง ฟ้าครึ้ม หรือแดดจัดจนทำให้บ่าว-สาวมีเงาบนใบหน้า เป็นต้น
4. ภาพถ่ายเสมือนงานศิลปะ (Fine Art Photograph) คือการถ่ายภาพงานแต่งงานแบบวิจิตรศิลป์ ที่มักผสมผสานกับรูปแบบอื่นๆ ช่างภาพงานแต่งลักษณะนี้จะถ่ายภาพที่ไม่เหมือนใครได้ตามโอกาสที่มี มักให้ทุกคนเปลี่ยนท่าทาง และจัดวางสิ่งของเล็กน้อยในงาน เช่น แหวน ช่อดอกไม้ และชุด ประกอบในภาพ เพื่อให้ได้องค์ประกอบตามที่ต้องการ บ่าว-สาวควรเลือกช่างภาพสไตล์นี้เป็นเพียงกล้องรอง เนื่องจากการใช้เวลาในการเลือกสรรมุมถ่ายภาพ อาจทำให้ช่างภาพงานแต่งพลาดที่จะเก็บเหตุการณ์ที่สำคัญในงานได้
5. ภาพถ่ายขาว-ดำ (Black & White Photograph) การถ่ายภาพงานแต่งงานขาวดำ อาจเป็นวิธีที่ขัดใจคนไทยหลายๆคน เพราะคิดว่าไม่เป็นมงคลกับชีวิตคู่ แต่กับบ่าว-สาวสมัยใหม่แล้ว กลับเป็นภาพถ่ายที่ดูคลาสสิกและไร้กาลเวลา และการขาดสีสันนี้ก็ทำให้สามารถปรับอารมณ์ของภาพถ่ายได้ ผ่านการตั้งค่าของกล้อง และการแต่งภาพ After shot และยังช่วยให้ตัวละครและองค์ประกอบในภาพเปล่งประกายได้มากกว่าอีกด้วย
6. ภาพถ่ายวินเทจ (Vintage Photograph) ด้วยความนิยมของฟิลเตอร์ภาพถ่ายวินเทจในยุคนี้ ทำให้มีคู่รักที่ชื่นชอบการถ่ายภาพงานแต่งงานแบบวินเทจเพิ่มมากขึ้น ให้ความรู้สึกหวนคิดถึงความสุขในงานแต่งงานในทุกครั้งที่มองภาพเหล่านี้ ธีมงานแต่งที่มักจะใช้การถ่ายภาพแบบวินเทจ คือ ธีมชนบทในตะวันตก และงานแต่งแบบย้อนยุค การถ่ายภาพงานแต่งงานสไตล์วินเทจจึงเป็นมากกว่าฟิลเตอร์ซีเปียและโทนสีน้ำตาล แต่ยังเป็นเทรนด์อมตะ ที่ไม่ว่าจะเปิดดูกี่ครั้ง ก็ยังคงมีเสน่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง
เทคนิคการเลือกช่างภาพงานแต่งในเหมาะสมกับคุณ
ได้รู้กันไปบ้างแล้วถึงสไตล์ภาพถ่าย ที่บ่าว-สาวสามารถนำไปเป็นข้อมูลในการหา Reference และการหาตัวช่างภาพงานแต่งมือฉมังที่โดดเด่นในแต่ละสไตล์ แต่แค่สไตล์อาจยังไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจได้ว่าจะเลือกช่างภาพงานแต่งคนไหน ที่สามารถรับผิดชอบเก็บบันทึกช่วงเวลาอันสำคัญของคุณไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะช่างภาพงานแต่งในสไตล์เดียวกัน ก็มีวิธีการทำงานที่ไม่เหมือนกัน มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน นอกเหนือจากการเลือกช่างภาพงานแต่งที่มีฝีมือแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่บ่าว-สาวควรรู้ เพื่อร่วมงานกับช่างภาพงานแต่งได้อย่างคล่องตัว ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ในช่วงเวลาสำคัญ
- เลือกช่างภาพงานแต่ง ที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อน คนรู้จัก และครอบครัว ที่ผ่านการใช้งานจริง มีผลงานของพวกเขาเหล่านั้นให้บ่าว-สาวพิจารณา หรือจากรีวิวในโลกออนไลน์ที่เชื่อถือได้ โดยไม่ได้ดูแค่เล่มผลงานจากช่างภาพงานแต่งนั้นๆ เพียงอย่างเดียว
- หาแนวทางการถ่ายภาพของช่างภาพงานแต่งที่บ่าว-สาวหมายปอง ว่าวิธีการทำงานของช่างภาพงานแต่งคนนั้นเป็นไปในแนวทางเดียวกับบ่าว-สาวหรือไม่ อาทิ หากบ่าว-สาวต้องการให้ช่างภาพงานแต่งมาประชุมร่วมกับบ่าว-สาว หรือทีมงานออแกไนเซอร์ และต้องการให้ไปชมสถานที่ก่อนวันงาน แต่ช่างภาพงานแต่งไม่สามารถทำได้ ก็ควรเปลี่ยนช่างภาพงานแต่ง หรือยกเลิกการนัดประชุมร่วมกัน หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือ หากบ่าว-สาวต้องการภาพถ่ายที่ไม่มีลายน้ำในภาพที่เป็น Signature ของช่างภาพงานแต่ง ควรพูดคุยและตกลงกันก่อนจ้างงาน เป็นต้น
- ช่างภาพงานแต่ง ควรมีความคล่องแคล่ว และละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องลำดับการในพิธี และจุดยืนสำหรับช่างภาพงานแต่ง ที่แน่นอนว่าไม่สามารถยืนได้ทุกที่ เพราะจะเป็นการรบกวนพิธี
- บ่าว-สาว อาจสละเวลาก่อนรับประทานอาหารสักเล็กน้อย เพื่อชมภาพจากกล้องของช่างภาพงานแต่ง เพื่อประเมินความพึงพอใจ และสามารถคอมเม้นท์ เพื่อให้การถ่ายภาพในช่วงเวลาที่เหลือของงาน มีประสิทธิภาพ และตรงกับความต้องการของบ่าว-สาวมากขึ้น
- บ่าว-สาว ควรทำความเข้าใจในสไตล์การถ่ายภาพของช่างภาพงานแต่งที่จ้างมา รวมถึงที่มาของภาพที่จะได้รับ เช่น หากบ่าว-สาวต้องการภาพถ่ายที่แฟนซี มีสีสันที่ฉูดฉาดเกินจริง ต้องรับรู้เช่นกันว่าช่างภาพงานแต่งจะต้องนำภาพที่ถ่ายกลับไปแต่งเพิ่มเติม ไม่สามารถถ่ายภาพจบหลังกล้องได้ เป็นต้น
- ราคาค่าตัวของช่างภาพงานแต่ง ไม่มีเรทตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือ และชื่อเสียงของช่างภาพงานแต่งนั้นๆ ควรต่อราคาอย่างให้เกียรติ และคำนวนค่าใช้จ่ายมาล่วงหน้าว่าคุณพร้อมที่จะจ่ายให้กับช่างภาพงานแต่งเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่
- แจ้งข้อมูลสำคัญกับช่างภาพโดยละเอียด เช่น ขนาดพื้นที่การจัดงาน แสงสีในงาน ช่วงเวลาของการจัดงาน ลำดับพิธีต่างๆ และระบุว่าต้องการภาพแบบไหน ในช่วงเวลาใดที่เน้นเป็นพิเศษ ทั้งนี้ เพื่อให้ช่างภาพงานแต่งสามารถเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ และทีมงานได้ถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน
ช่างภาพงานแต่งจะสามารถแสดงฝีมือได้เต็มที่หรือไม่ ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ความพร้อมของสถานที่จัดงานด้วยเช่นกัน หากพื้นที่แคบจนเกินไป ก็ทำให้พื้นที่ในการทำงานของช่างภาพงานแต่งลดลง หรือต้องลดอุปกรณ์เสริมบางอย่างลง เพื่อประหยัดพื้นที่ และเพิ่มความคล่องตัว แม้กระทั่งเรื่องของการจัดเตรียมปลั๊กไฟสำหรับช่างภาพงานแต่ง ก็ควรมีให้เพียงพอเพื่อให้การทำงานสะดวกสบายมากขึ้น ทั้งหมดนี้ หากบ่าว-สาว เลือกจัดงานแต่งงานที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ก็จะสามารถตัดปัญหาเหล่านี้ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง เพราะทีมงานอิมแพ็ค จะเป็นตัวแทนบ่าว-สาวในการประสานงานด้านพื้นที่จัดงานกับช่างภาพงานแต่งทุกรูปแบบ และด้วยลักษณะพื้นที่จัดงานที่วางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจได้ว่าช่างภาพงานแต่งของบ่าว-สาว จะมีพื้นที่ในการรังสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ และได้ภาพความทรงจำที่น่าประทับใจแน่นอน
หวังว่ารายละเอียดการเลือกช่างภาพงานแต่งจากอิมแพ็ค เวดดิ้ง นี้ จะทำให้บ่าว-สาวทุกคนเลือกช่างภาพงานแต่งได้ตรงใจคุณไม่มากก็น้อย สำหรับบ่าว-สาวท่านใดจัดงานแต่งงานกับทางอิมแพ็ค เวดดิ้ง ทางเราก็มีทีมงานคอยให้บริการด้านการจัดงานแต่งงานให้ท่านได้
หากคู่บ่าว-สาวสนใจเข้าชมสถานที่ หรือขอแพ็คเกจของอิมแพ็ค เวดดิ้ง ติดต่อได้ที่ 02 833 5252
รายละเอียดเพิ่มเติม: IMPACT Wedding Instagram หรือ IMPACT Wedding Facebook
ติดต่อเรา :👉🏻 คลิก👈🏻